Month: พฤษภาคม 2022

บางสิ่งที่ลึกซึ้งและผูกพัน

อมินาผู้อพยพชาวอิรัก และโจเซฟชาวอเมริกันแต่กำเนิด ได้เข้าร่วมการประท้วงทางการเมืองโดยอยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน เราถูกสอนให้เชื่อว่า ผู้ที่แตกต่างกันทางเชื้อชาติและการเมืองจะเป็นอริที่เกลียดชังกัน แต่เมื่อผู้ประท้วงกลุ่มเล็กๆเข้ามารุมโจเซฟและพยายามจุดไฟเผาเสื้อของเขา อมินารีบเข้าไปปกป้องเขา “ผมคิดว่าเราแตกต่างกันอย่างสุดขั้วแล้วในความเป็นมนุษย์” โจเซฟบอกนักข่าว “ถึงอย่างนั้น มันก็เหมือนเป็นช่วงเวลาที่เราเห็นว่า ‘มันไม่โอเค’” บางสิ่งที่อยู่ลึกกว่าแนวคิดทางการเมืองได้ถักทออมินาและโจเซฟเข้าด้วยกัน

แม้เรามักจะมีความเห็นที่ต่างกันกับคนอื่นๆ เป็นความแตกต่างในเรื่องสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ แต่ก็ยังมีความเป็นจริงที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าซึ่งผูกพันเราไว้ด้วยกัน นั่นคือเราทุกคนถูกสร้างโดยพระเจ้าและทรงผูกพันเราไว้เป็นครอบครัวเดียวกันที่พระองค์ทรงรัก พระเจ้าทรงสร้างเราแต่ละคน “ตามพระฉายาของพระองค์” (ปฐก.1:27) โดยไม่คำนึงถึงเพศ สถานะทางสังคม ชาติพันธุ์ หรือแนวคิดทางการเมือง และไม่ว่าในเรื่องอื่นใดอีกที่เป็นจริงพระเจ้าก็ทรงเป็นภาพสะท้อนอยู่ทั้งในตัวคุณและผม ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ประทานวัตถุประสงค์ร่วมกันแก่เราเพื่อให้ “ทวีมากขึ้นจนเต็ม” และ “ครอบครอง” โลกของพระเจ้าด้วยสติปัญญาและความเอาใจใส่ (ข้อ 28)

เมื่อใดก็ตามที่เราลืมว่าเราผูกพันร่วมกันในพระเจ้า เราก็ทำความเสียหายให้แก่ตัวเองและผู้อื่น แต่เมื่อเราอยู่ร่วมกันในพระคุณและความจริงของพระองค์ เราก็มีส่วนในพระประสงค์ของพระองค์ที่จะทำให้โลกนี้น่าอยู่และเจริญรุ่งเรือง

ผลไม้ขายต้นไม้

เจ้าของร้านต้นไม้เตรียมจะขายต้นพีช เธอคิดหาวิธีต่างๆเพื่อดึงดูดลูกค้า เธอควรนำต้นกล้าที่มีใบดกมาจัดวางในกระสอบผ้าให้สวยงาม หรือควรทำแผ่นโฆษณาสีที่มีภาพต้นพีชเติบโตตามฤดูกาลต่างๆดี สุดท้ายเธอก็คิดออกว่าอะไรที่จะทำให้ขายต้นพีชได้ ซึ่งก็คือผลผลิตของต้นพีชที่มีกลิ่นหอมหวาน สีส้มเข้ม และมีเปลือกอ่อนนุ่ม วิธีที่ดีที่สุดในการขายต้นพีช คือเด็ดผลพีชสุก ผ่าออกให้น้ำของลูกพีชไหลหยดลงมาตามแขนของคุณ และยื่นพีชหนึ่งชิ้นให้ลูกค้า เมื่อพวกเขาได้ชิมผลไม้แล้ว พวกเขาก็จะอยากได้ต้นไม้

พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองในรูปแบบของผลฝ่ายพระวิญญาณที่อยู่ในผู้ติดตามพระองค์ คือในความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ (ความอดทน) ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม และการรู้จักบังคับตน (กท.5:22-23) เมื่อผู้เชื่อในพระเยซูแสดงออกถึงผลเหล่านั้น ผู้อื่นก็จะอยากได้เช่นกัน แล้วพวกเขาก็จะแสวงหาแหล่งกำเนิดของผลที่น่าดึงดูดใจเหล่านั้น

ผลเหล่านี้คือผลลัพธ์ภายนอกที่เกิดจากความสัมพันธ์ภายใน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตของเรา ผลเหล่านี้คือภาพลักษณ์ที่ดึงดูดให้ผู้อื่นมารู้จักพระเจ้าที่เรานำเสนอ เช่นเดียวกับลูกพีชสีสดใสที่โดดเด่นออกมาจากใบสีเขียวของต้นไม้ ผลของพระวิญญาณก็ประกาศแก่โลกที่อดอยากว่า “ที่นี่มีอาหาร! ที่นี่มีชีวิต! จงมาแสวงหาทางที่จะหลุดพ้นจากความเหน็ดเหนื่อยและท้อใจ มาและพบกับพระเจ้า!”

ชื่นชมยินดีที่บ้านของไซม่อน

ผมไม่เคยลืมการเดินทางไปบ้านของไซม่อน ภายใต้ท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยดวงดาวในเมืองยาฮูรูรู ประเทศเคนย่า เราเดินทางไปบ้านหลังน้อยของเขาเพื่อทานอาหารเย็น พื้นดินและแสงตะเกียงสะท้อนถึงการใช้ชีวิตอย่างอัตคัดของเขา ผมจำไม่ได้ว่าอาหารมื้อนั้นคืออะไร แต่สิ่งที่ผมไม่อาจลืมคือความชื่นชมยินดีของไซม่อนที่เราไปเป็นแขกของเขา การต้อนรับด้วยน้ำใจไมตรีของเขานั้นเป็นเหมือนกับพระเยซู คือไม่เห็นแก่ตัว สัมผัสชีวิต และนำความปีติยินดีมาให้

ใน 1 โครินธ์ 16:15-18 เปาโลเอ่ยถึงครอบครัวหนึ่ง คือครอบครัวของสเทฟานัส (ข้อ 15) ซึ่งมีชื่อเสียงในการปรนนิบัติ พวกเขา “ได้ถวายตัวไว้ในการปรนนิบัติธรรมิกชนทั้งปวง” (ข้อ 15) แม้การปรนนิบัติโดยรวมของพวกเขาจะเป็นสิ่งที่จับต้องได้ (ข้อ 17) แต่ผลที่ตามมาเป็นสิ่งที่เปาโลเขียนว่า “เขาทำให้จิตใจของข้าพเจ้า และใจท่านทั้งหลายชื่นชมยินดี” (ข้อ 18)

เมื่อเรามีโอกาสแบ่งปันกับผู้อื่น เรามักจะสนใจให้ความสำคัญกับเรื่องอาหาร สภาพแวดล้อม และสิ่งต่างๆให้เหมาะกับวาระโอกาสนั้นๆ แต่บางครั้งเราก็ลืมไปว่า แม้ “สิ่งใด” และ “ที่ใด” จะสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด มื้ออาหารที่น่าจดจำนั้นยอดเยี่ยมและบรรยากาศอันรื่นรมย์ก็มีส่วน แต่อาหารมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถบำรุงเลี้ยงและเสริมสร้างกำลังใจได้อย่างเต็มที่ ความชื่นชมยินดีที่แท้จริงมาจากพระเจ้าและเป็นเรื่องของจิตใจ มันสามารถส่งไปถึงใจของผู้อื่น และยังคงหล่อเลี้ยงจิตใจได้ต่อเนื่องยาวนานแม้มื้ออาหารจะสิ้นสุดลงแล้ว

อาหารจากสวรรค์

เดือนสิงหาคม 2020 ชาวเมืองออลเทน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าหิมะตกเป็นช็อกโกแลต! ความผิดปกติในระบบระบายอากาศของโรงงานช็อกโกแลตท้องถิ่นทำให้อนุภาคช็อกโกแลตฟุ้งกระจายไปในอากาศ ผลที่ตามมาคือ เกล็ดผงช็อกโกแลตที่กินได้ปกคลุมรถยนต์และถนน ทำให้ทั้งเมืองมีกลิ่นเหมือนร้านขายขนม

เมื่อคิดถึงการที่อาหารเลิศรสตกลงมาจากสวรรค์ “ราวกับมีเวทมนตร์” ทำให้ฉันนึกถึงการที่พระเจ้าทรงเลี้ยงดูชาวอิสราเอลในพระธรรมอพยพ ซึ่งเกิดขึ้นหลังการออกมาจากอียิปต์อย่างอัศจรรย์ พวกเขาเผชิญความท้าทายอันหนักหน่วงในถิ่นทุรกันดาร โดยเฉพาะการขาดแคลนอาหารและน้ำ พระเจ้ารู้ถึงความทุกข์ยากของเขาจึงทรงสัญญาว่า “จะให้อาหารตกลงมาจากท้องฟ้าดุจฝน” (อพย.16:4) เช้าวันรุ่งขึ้น มีเกล็ดเล็กๆปรากฏบนพื้นดินในถิ่นทุรกันดาร การทรงเลี้ยงดูในแต่ละวันซึ่งรู้จักกันว่ามานา ได้ตกลงมาในตลอดสี่สิบปีต่อมา

เมื่อพระเยซูเสด็จมาในโลก ผู้คนเริ่มเชื่อว่าพระเจ้าทรงส่งพระองค์มาเมื่อพระองค์จัดเตรียมขนมปังแก่ฝูงชนกลุ่มใหญ่อย่างอัศจรรย์ (ยน.6:5-14) แต่พระเยซูทรงสอนว่าพระองค์เองเป็น “อาหารแห่งชีวิต” (ข้อ 35) ทรงถูกส่งมาไม่เพียงแค่ให้จัดหาอาหารที่บำรุงร่างกายเพียงชั่วคราว แต่ยังเพื่อประทานชีวิตนิรันดร์ (ข้อ 51)

สำหรับพวกเราที่หิวกระหายอาหารฝ่ายวิญญาณ พระเยซูทรงยื่นข้อเสนอแห่งการมีชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้า ขอให้เราเชื่อและวางใจว่า พระองค์เสด็จมาเพื่อเติมเต็มความปรารถนาที่ลึกที่สุดเหล่านั้นให้เป็นจริง

โหยหาพระองค์

ทำไมเมื่อเราพูดว่า “นี่เป็นมันฝรั่งทอดชิ้นสุดท้ายที่ฉันจะกิน” แต่ห้านาทีต่อมาเราก็มองหาเพื่อจะกินอีก ไมเคิล มอสส์ตอบคำถามนี้ในหนังสือชื่อ เกลือ น้ำตาล ไขมัน ของเขา เขาอธิบายว่าผู้ผลิตขนมขบเคี้ยวรายใหญ่ที่สุดของอเมริการู้วิธี “ช่วย” ให้ผู้คนโหยหาอาหารขยะ อันที่จริงบริษัทมีชื่อแห่งหนึ่งใช้เงินเกือบหนึ่งพันล้านบาทต่อปีในการจ้าง “ที่ปรึกษาด้านความอยากอาหาร” ให้กำหนดสัดส่วนของเครื่องปรุงที่ทำให้ผู้บริโภคติดใจ เพื่อจะใช้ประโยชน์จากความอยากอาหารของเรา

พระเยซูไม่ได้ทำเหมือนบริษัทนี้ แต่ทรงช่วยให้เราโหยหาอาหารแท้คืออาหารฝ่ายวิญญาณ ซึ่งนำความอิ่มเอมมาสู่จิตวิญญาณของเรา พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย” (ยน.6:35) พระองค์ทรงสื่อสารสองสิ่งที่สำคัญในคำตรัสนี้ สิ่งแรกคือ อาหารที่พระองค์ตรัสถึงคือบุคคลไม่ใช่ของสำหรับบริโภค (ข้อ 32) อย่างที่สองคือ เมื่อมนุษย์วางใจให้พระเยซูทรงยกโทษความบาป พวกเขาก็ได้เข้าสู่ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์และพบกับสิ่งที่เติมเต็มความโหยหาในจิตวิญญาณทุกอย่าง อาหารนี้คงอยู่เป็นนิตย์ เป็นอาหารฝ่ายวิญญาณที่นำไปสู่ความอิ่มเอมใจและสู่ชีวิต

เมื่อเราไว้วางใจในพระเยซู ผู้ทรงเป็นอาหารแท้จากสวรรค์ เราจะโหยหาพระองค์ และพระองค์จะทรงเสริมกำลังและเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา

ความกล้าหาญที่ไม่ธรรมดา

ในปี 1478 ลอเรนโซ ดี เมดิชี ผู้ปกครองเมืองฟลอเรนซ์ อิตาลี รอดชีวิตจากการถูกโจมตีมาได้ เมื่อเพื่อนร่วมชาติของเขาจุดชนวนสงครามขณะพยายามตอบโต้การโจมตีผู้นำของตน สถานการณ์แย่ลงไปอีกเมื่อกษัตริย์เฟอร์รานเตที่ 1 แห่งเนเปิลส์ผู้โหดร้ายกลับกลายเป็นศัตรูของลอเรนโซ แต่การกระทำที่กล้าหาญของลอเรนโซเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง เขาเข้าเฝ้ากษัตริย์ตามลำพังโดยปราศจากอาวุธ ความกล้าหาญรวมถึงเสน่ห์และความเฉลียวฉลาดของเขาชนะใจเฟอร์รานเตและทำให้สงครามยุติลง

ดาเนียลก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ช่วยกษัตริย์ให้เปลี่ยนใจ ไม่มีใครในบาบิโลนที่สามารถเล่าและแก้ฝันร้ายของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ทำให้พระองค์ทรงกริ้วและรับสั่งให้ฆ่าที่ปรึกษาทั้งหมด รวมถึงดาเนียลและเพื่อนๆของท่าน แต่ดาเนียลขอเข้าเฝ้ากษัตริย์ที่ต้องการประหารเขา (ดนล.2:24)

เมื่ออยู่ต่อหน้าเนบูคัดเนสซาร์ ดาเนียลถวายเกียรติทั้งสิ้นแด่พระเจ้าผู้ทรงเผยความลึกลับแห่งความฝัน (ข้อ 28) เมื่อผู้เผยพระวจนะเล่าและแก้ฝันแล้ว เนบูคัดเนสซาร์จึงยกย่องพระเจ้าว่า “พระเจ้าของพระทั้งหลาย และทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของพระราชาทั้งปวง” (ข้อ 47) ความกล้าหาญที่ไม่ธรรมดาของดาเนียลซึ่งเกิดจากความเชื่อในพระเจ้า ได้ช่วยตัวเขา เพื่อนๆของเขา และที่ปรึกษาคนอื่นๆให้รอดตายในวันนั้น

อาจมีบางคราวในชีวิตของเรา ที่จำเป็นต้องใช้ความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวในการสื่อสารข้อความที่สำคัญ ขอพระเจ้าทรงนำในถ้อยคำของเราและประทานสติปัญญาเพื่อเราจะรู้ว่าควรพูดอะไร และจะพูดอย่างไรให้เกิดผล

การต่อสู้อันดุเดือด

ในปี 1896 นักสำรวจชื่อคาร์ล เอคลีย์ พบว่าตัวเขากำลังถูกเสือดาวหนัก 36 กิโลกรัมไล่ล่าอยู่ในพื้นที่ห่างไกลของเอธิโอเปีย เขาจำได้ว่าเสือดาวกระโจนใส่และพยายาม “ฝังเขี้ยวเข้าที่คอของผม” มันพลาด กรามอันแข็งแกร่งจึงงับเข้าที่แขนขวาของเขาแทน ทั้งสองกลิ้งไปบนทรายระหว่างการต่อสู้อันดุเดือดยาวนาน เอคลีย์อ่อนล้าและ “เกิดคำถามว่าใครจะยอมแพ้ก่อน” เขารวบรวมกำลังครั้งสุดท้ายจนสามารถปลิดลมหายใจเจ้าแมวยักษ์ด้วยมือเปล่า

เปาโลอธิบายว่าเราแต่ละคนที่เชื่อในพระเยซูจะต้องเผชิญกับการต่อสู้อันดุเดือดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเราจะรู้สึกว่าเกินกำลังและถูกล่อลวงให้ยอมแพ้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เราต้อง “ต่อต้านยุทธอุบายของพญามาร” และ “มั่นคง” (อฟ.6:11,14) แทนที่เราจะหมอบลงด้วยความกลัวหรือแตกเป็นเสี่ยงๆเมื่อตระหนักถึงความอ่อนแอและเปราะบางที่มี เปาโลกลับท้าทายให้เราก้าวไปข้างหน้าด้วยความเชื่อ โดยระลึกว่าเราไม่ได้พึ่งพาความกล้าหาญและกำลังของเราเอง แต่เป็นพระเจ้า “จงมีกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในฤทธิ์เดชอันมหันต์ของพระองค์” ท่านเขียน (ข้อ 10) ในความท้าทายทั้งหลายที่เราเผชิญ พระองค์ทรงอยู่ห่างแค่เพียงคำอธิษฐาน (ข้อ 18)

ใช่แล้ว เราจะต้องเจอการต่อสู้อีกมากมาย และเราไม่อาจหนีพ้นด้วยกำลังและสติปัญญาของเราเอง แต่พระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพมากยิ่งกว่าศัตรูหรือมารร้ายใดๆที่เราจะได้พบเจอ

เข้ามาแทรกแซงจักรวาล

ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 นักดาราศาสตร์ชื่อดังผู้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าได้เขียนไว้ว่า “การตีความข้อเท็จจริงตามสามัญสำนึกแสดงให้เห็นว่า มีผู้ทรงปัญญายิ่งยวดได้เข้ามาแทรกแซงสสารและพลังงาน องค์ประกอบทางเคมี และสิ่งมีชีวิตต่างๆ” ในสายตาของนักวิทยาศาสตร์คนนี้ มีหลักฐานที่แสดงว่ามีบางอย่างได้ออกแบบทุกสิ่งที่เรามองเห็นในจักรวาล เขาเสริมว่า “ไม่มีพลังหรืออำนาจอันไร้ที่มาในธรรมชาติ” พูดอีกนัยหนึ่งคือ ทุกสิ่งที่เรามองเห็นดูเหมือนจะถูกวางแผนโดยใครสักคน แต่กระนั้นนักดาราศาสตร์คนนี้ก็ยังคงไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า

สามพันปีที่แล้ว ชายผู้มีสติปัญญาอีกคนหนึ่งมองไปบนท้องฟ้าและได้ข้อสรุปที่ต่างออกไป “เมื่อข้าพระองค์มองดูฟ้าสวรรค์อันเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ดวงจันทร์และดวงดาวซึ่งพระองค์ได้ทรงสถาปนาไว้ มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงเขา และบุตรของมนุษย์เป็นใครเล่าซึ่งพระองค์ทรงเยี่ยมเขา” ดาวิดสงสัย (สดด.8:3-4)

แต่พระเจ้ายังทรงห่วงใยเราอย่างสุดซึ้ง จักรวาลแสดงให้เราเห็นถึงผู้ออกแบบ เป็น “ผู้ทรงพระปัญญายิ่งยวด” ที่สร้างความคิดให้เรา ผู้สร้างความคิดให้เรา และให้เราอยู่ในโลกเพื่อใคร่ครวญถึงพระราชกิจของพระองค์ เรารู้จักพระเจ้าได้ผ่านทางพระเยซูและสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง เปาโลบันทึกไว้ว่า “[พระคริสต์]ทรงเป็นบุตรหัวปีเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก” (คส.1:15-16)

แท้ที่จริงแล้วจักรวาลได้ถูก “แทรกแซง” อัตลักษณ์ขององค์ผู้ออกแบบที่ทรงพระปัญญานี้จะถูกค้นพบได้โดยทุกคนที่เต็มใจจะค้นหา

ของประทานแห่งการกลับใจ

“เปล่า! ผมไม่ได้ทำ!” เจนฟังคำปฏิเสธของลูกชายวัยรุ่นด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เพราะเธอรู้ว่าเขาไม่ได้พูดความจริง เธออธิษฐานขอพระเจ้าช่วยก่อนจะถามไซม่อนอีกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้น เขายังคงไม่ยอมรับว่าเขาโกหก ในที่สุดเธอยกมือสองข้างขึ้นด้วยความหงุดหงิดพร้อมบอกว่าขออยู่คนเดียว ขณะที่เธอกำลังจะเดินออกไป เธอรู้สึกว่ามือของลูกมาแตะที่ไหล่และได้ยินคำขอโทษของเขา เขาตอบสนองต่อการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์และกลับใจ

ในหนังสือโยเอลจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม พระเจ้าทรงเรียกคนของพระองค์ให้กลับใจอย่างแท้จริงจากบาปของพวกเขา และทรงต้อนรับพวกเขากลับมาหาพระองค์อย่างเต็มพระทัย (2:12) พระเจ้าไม่ได้ดูการสำนึกผิดจากการแสดงออกภายนอก แต่ทรงปรารถนาให้ทัศนคติที่แข็งกระด้างของพวกเขาอ่อนลง “จงฉีกใจของเจ้า มิใช่ฉีกเสื้อผ้าของเจ้า” โยเอลเตือนชาวอิสราเอลว่า พระเจ้า “ทรงกอปรด้วยพระคุณและทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้าและบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง” (ข้อ 13)

เราอาจพบว่าการสารภาพความผิดของเราเป็นเรื่องยาก เพราะในความถือดีของเรา เราไม่อยากยอมรับว่าทำบาป เราอาจหลีกเลี่ยงความจริง และแก้ตัวว่าการกระทำของเราเป็นแค่ “การโกหกเล็กน้อยที่ไม่ร้ายแรง” แต่เมื่อเราเชื่อฟังการเตือนที่อ่อนโยนแต่จริงจังของพระเจ้าและสารภาพบาป พระองค์จะยกโทษและชำระเราให้สะอาดจากบาปทั้งปวง (1 ยน.1:9) เราจะเป็นอิสระจากความรู้สึกผิดและความละอาย เมื่อรู้ว่าเราได้รับอภัยโทษแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา